ผ้าไหม(Thai Silks)

Posted on Updated on

แหล่งทอผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดของจังหวัดบุรีรัมย์อยู่ที่อำเภอพุทไธสงและอำเภอนาโพธิ์  บุรีรัมย์เป็นจังหวัดในภาคอีสานที่มีชื่อเสียงในด้านการทอผ้าไหมมาเป็นเวลาช้านาน และมีการทอผ้าไหมในแทบทุกอำเภอ โดยถ่ายทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษสู่รุ่นหลาน            “การเลี้ยงไหมนอกจากจะเป็นการเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรแล้ว ยังเป็นวัฒนธรรมที่เก่าแก่และดีงามของชาติไทยที่สืบต่อกันมานานอีกด้วย ไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร การพัฒนาการเลี้ยงไหมก็ต้องดำเนินต่อไป” พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินินาถ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2542

พระราชดำรัสดังกล่าวข้างต้นเปรียบเสมือนแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม มีพลังในการสืบสานอาชีพนี้ต่อไปเช่นเดียวกับชาวบุรีรัมย์ สำหรับท่านที่รู้คุณค่าและปรารถนาเป็นเจ้าของผ้าไหมแท้ ทอมือ แสนสวยงาม เรามีนำเสนอ ดังนี้   เชิญติดต่อ  Mobbile Phone: 093-1038117 (+6693-1038117)

ชุดที่ 1   เชิญติดต่อ

Paypal  (ราคา รวมค่าขนส่งทั่วประเทศ)

ชุดที่ 2    เชิญติดต่อ

Paypal  (ราคา รวมค่าขนส่งทั่วประเทศ)

ชุดที่ 3   เชิญติดต่อ

Paypal  (ราคา รวมค่าขนส่งทั่วประเทศ)

ชุดที่ 4   เชิญติดต่อ

Paypal  (ราคา รวมค่าขนส่งทั่วประเทศ)

ชุดที่ 5   เชิญติดต่อ

3600

Paypal  (ราคา รวมค่าขนส่งทั่วประเทศ)

สหกรณ์ผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมบ้านหัวสะพาน ที่มีการสานต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นในการผลิตผ้าไหมไทยมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษค่ะ

buriram

คนในชุมชนส่วนใหญ่ที่บ้านหัวสะพานมีอาชีพปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้าไหมมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว โดยเฉพาะหลังฤดูเก็บเกี่ยวจะมีการทอผ้าไหมขายเพื่อเป็นรายได้เสริม แบบต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างขาย ทำให้ไม่มีตลาดรองรับที่แน่นอน แต่หลังจากได้มีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งสหกรณ์ฯ เมื่อ 23 ธันวาคม 2553 โดยศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ (บุรีรัมย์) ร่วมกับสหกรณ์จังหวัดบุรีรัมย์ สหกรณ์อำเภอพุทไธสง พร้อมด้วยสมาชิกผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม บ้านหัวสะพาน ภายใต้การสนับสนุนของกรมหม่อนไหม เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการปลูกหม่อนการเลี้ยงไหมวัยอ่อน การเลี้ยงไหมวัยแก่ และการผลิตเส้นไหมให้ได้ตามมาตรฐานเส้นไหมหัตถกรรมพร้อมการบริหารจัดการดักแด้ไหม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การผลิตเส้นไหมของเกษตรกรในบริเวณแถบนี้ ตลอดจนถ่ายทอดปัญญาดังกล่าวต่อกลุ่มชนรุ่นหลังต่อไปค่ะ การปลูกต้นหม่อนมีทั้งที่ปลูกในที่หัวไร่ปลายนาและเช่าที่เพื่อปลูกค่ะ สังเกตได้ว่าปลูกกันแทบทุกบ้าน

buriram

ชาวบ้านที่บ้านหัวสะพานใจดีมากเลยค่ะ คอยให้ข้อมูลพร้อมพาเราไปชมการเลี้ยงไหมถึงในบ้าน ตัวไหมของแต่ละบ้านก็อยู่ในระยะที่ต่างกันค่ะ ในภาพจะเป็นไหมวัยอ่อนค่ะ

buriram
buriram

การเลี้ยงตัวไหมในกระด้งหรือกระบะเป็นวิธีที่ปฏิบัติมาดั้งเดิม ภายในห้องเลี้ยงไหมจะมีชั้นวางกระด้งหรือกระบะ วิธีการเลี้ยงไหมจะใช้วิธีเก็บใบหม่อนที่ค่อนข้างแก่ มีสีเขียวเข้มมาโรยให้หนอนไหมกิน

buriram

 

buriram

ที่บ้านหัวสะพานเจอพี่ชายใจดีท่านหนึ่งพาดูทุกบ้านเลยค่ะ พี่เค้าบอกว่ามีบ้านหนึ่งสาวไหมอยู่เดี๋ยวพาไปดู พอมาถึงก็เจอคุณป้ากำลังสาวไหมอยู่พอดีเลย โชคดีมากค่ะ ซึ่ง การสาวไหม คือ การดึงเส้นใยออกจากรังไหมให้ได้ขนาดตามต้องการในการทอผ้า ในประเทศไทยมีการสาวไหมแบบพื้นเมืองมานานแล้ว เป็นการสาวไหมด้วยมือ

buriram
buriram

เฝ้าสังเกตการณ์สาวไหมไปเรื่อย ๆ รู้สึกทึ่งในภูมิปัญญาชาวบ้านจริง ๆ ค่ะ แค่ขั้นตอนเริ่มแรกก็แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายแล้ว

buriram

กระบวนการสาวเส้นไหม

1. ต้มน้ำให้ร้อนประมาณ 70-80 C แล้วใส่รังไหมลงไปประมาณ 40-50 รังเพื่อให้ความร้อนจากน้ำช่วยละลาย Serricin (โปรตีน) ที่ยึดเส้นไหม

2. ใช้ไม่พายเล็กแกว่งตรงกลางเป็นแฉก คนรังไหมกดรังไหมให้จมน้ำเสียก่อน

3. เมื่อรังไหมลอยขึ้นจึงค่อย ๆ ตะล่อมให้รวมกันแล้วต่อย ๆ ดึงเส้นใยไหมออกมาจะได้เส้นใยไหมซึ่งมีขนาดเล็กมากรวมเส้นใยไหมหลาย ๆ เส้นรวมกัน

4. ดึงเส้นไหม โดยให้เส้นไหมลอดออกมาตามแฉกไม้ ซึ่งจะทำให้ได้เส้นไหมที่สม่ำเสมอและรังไหมไม่ไต่ตามมากับเส้นไหม เส้นไหมที่สาวได้จะผ่านไม้หีบขึ้นไปร้อยกันรอกที่แขวนหรือพวงสาวที่ยึดติดกับปากหม้อ แล้วดึงเส้นไหมใส่กระบุง

5. คอยเติมรังไหมใหม่ลงไปในหม้อต้มเป็นระยะ ๆ

6. รังไหมจะถูกสาวจนหมดรังเหลือดักแด้จมลงก้นหม้อแล้วจึงตักดักแด้ออก

buriram
buriram

buriram

buriram

พี่เค้าชวนให้ลองชิมตัวดักแด้ที่ต้มเสร็จด้วย แต่ว่าไม่ได้ลองค่ะ

บ้านต่อมาพี่เค้าพาไปชมการทำผ้าไหมมัดหมี่ค่ะ

buriram

ผ้าไหมมัดหมี่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอีสานที่มีวิธีการสร้างลายผ้าไหมด้วยวิธีโบราณสืบต่อกันมานาน โดยนำเส้นไหมมามัดแล้วย้อมสีต่างๆ  ตามที่กำหนด และเมื่อนำเส้นไหมที่ย้อมสีแล้วไปทอก็จะได้ผ้าไหมที่มีลวดลายสีสันสวยงาม กรรมวิธีมัดและย้อมเส้นไหมนี้ชาวอีสานเรียกว่า “มัดหมี”

buriram

การทอผ้ามัดหมี่จะมีลายพื้นเมืองดั้งเดิมและลายที่ประยุกต์ขึ้นใหม่ ลักษณะเด่นของผ้าไหมบุรีรัมย์ คือ เนื้อจะแน่น เส้นไหมละเอียด ถ้าเป็นผ้าไหมมัดหมี่ที่เป็นแบบพื้นเมืองดั้งเดิมจะนิยมใช้สีขรึม ๆ ไม่ฉูดฉาด

buriram
buriram

บ้านคุณป้าท่านนี้เลี้ยงตัวไหมไว้ในบ้านเลยค่ะ คุณป้าเล่าอย่างใจดีว่าอยู่คนเดียวเลี้ยงในบ้านเลยสะดวกดี แถมชักชวนให้เข้าไปดูตัวไหมที่คุณป้าเลี้ยง อันนี้ตัวโตแล้วค่ะ พี่ที่พาเราชมหมู่บ้านบอกว่านี่ระยะ 5 แล้ว การเลี้ยงไหมวัย 5 เป็นช่วงไหมวัยสุดท้ายที่ใกล้จะให้ผลผลิตค่ะ

buriram

 

buriram

กี่ทอผ้าไหม เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญยิ่งอีกอันหนึ่ง ลักษณะของกี่จะมีโครงสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ประกอบด้วยเสาหลัก 4 เสา มีไม้ยึดติดกัน เป็นแบบดั้งเดิมที่ใช้มาในอดีตและปัจจุบันยังนิยมใช้อยู่ เพราะกี่ชนิดนี้ใช้ทอผ้าที่มีลวดลายต่าง ๆ ได้ดีกว่าชนิดอื่น ๆ กี่กระตุกเป็นกี่แบบใหม่ที่ได้วิวัฒนาการให้มีคุณภาพในการทอรวดเร็วยิ่งขึ้น

buriram

 

buriram

ประวัติความเป็นมาผ้าไหมบุรีรัมย์

การส่งเสริมปลูกหม่อนเลี้ยงไหมที่จังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มมาตั้งแต่สมัย รัชการที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าให้ กรมหมื่นพิชัยมหิตโรดม พระราชโอรสลำดับที่ 38 เป็นอธิบดีกรมช่างไหม ในปี 2447-2448 ได้มีการจัดตั้งสถานีเลี้ยงไหมปลูกหม่อนที่จังหวัดบุรีรัมย์ขึ้น อธิบดีกรมช่างไหมทรงเสด็จออกตรวจเยี่ยมการทำไหมที่จังหวัดบุรีรัมย์โดยทางเกวียน และทรงแต่งเพลง “ลาวดำเนินเกวียน” ขึ้นระหว่างเดินทาง ปัจจุบันเรียกว่า “เพลงลาวดวงเดือน”

เมื่อปี 2450 มีการตั้งโรงสาวไหมขึ้นที่ว่าการอำเภอและศาลาวัดในพื้นที่ที่มีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหมมาก ๆ ของบุรีรัมย์ เช่น บ้านนาโพธิ์ หน่วยเลี้ยงไหมพุทไธสงและเมืองบุรีรัมย์ประสบความสำเร็จ กรมช่างไหมจึงให้หน่วยเลี้ยงไหมในมณฑลอีสานขึ้นตรงต่อหน่วยเมืองบุรีรัมย์ ตั้งแต่ปี 2456 การเลี้ยงไหมชะงักลงจาการที่ไหมเกิดโรคระบาด และเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งปี 2495 ได้มีการยกฐานะโรงเลี้ยงไหมจังหวัดบุรีรัมย์ขึ้นเป็นสถานีส่งเสริมการเลี้ยงไหม ส่งเสริมการทำไหมอย่างจริงจังอีก จนถึงปี 2518 มีการรวมกลุ่ม “กลุ่มสตรีอาสาทอผ้าไหม” ที่บ้านนาโพธิ์ อำเภอนาโพธิ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระมหากรุณาธิคุณรับเป็นสมาชิกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในพระองค์ จึงยกระดับฝีมือทอผ้าชาวบุรีรัมย์ให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อปี 2530 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับสั่งให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาคุณภาพชีวิต สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ศึกษาข้อมูลพื้นที่แห้งแล้งที่สุดของประเทศไทย พบว่า อำเภอนาโพธิ์เป็นพื้นที่แห้งแล้งที่สุดของประเทศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงทราบถึงโครงการ จึงรับพื้นที่อำเภอ นาโพธิ์ไว้ในโครงการส่วนพระองค์ ในปี 2542 ได้มีการก่อสร้างศูนย์หัตกรรมพื้นบ้านที่อำเภอนาโพธิ์ขึ้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอาชีพรองรับแผนงานโครงการส่วนพระองค์ ในปี 2545 ผู้ผลิตผ้าไหมชาวบุรีรัมย์กว่าร้อยกลุ่ม จึงขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน

การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมเป็นวิถีชีวิตของราษฎรชาวบุรีรัมย์ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน ตามหลักฐานปรากฏว่ามีการส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมที่จังหวัดบุรีรัมย์ มาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 5 โดยระหว่างปี พ.ศ. 2440-2445 ประเทศสยามได้สั่งซื้อเครื่องแพรไหมจากต่างประเทศมีมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ส่งเสริมการเลี้ยงไหมขึ้น และได้ดำเนินการอย่างจริงจังในปี 2444 โดยกระทรวงเกษตราธิการได้ยกฐานะแผนกไหม เป็นกรมช่างไหม และจ้างผู้เชี่ยวชาญทำไหมชาวประเทศญี่ปุ่น ทำการสำรวจและทดลองปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในประเทศสยาม

สำหรับผ้าไหมบุรีรัมย์มีสีสันลวดลายหลากหลาย ตามความนิยมของชาวบุรีรัมย์ที่มีชนเผ่า 4 ชนเผ่า ได้แก่

1) ชนเผ่าไทยเขมร นิยมผ้าไหมลายหางกระรอก ลายอัลปรม ลายโฮล ลายลูกแก้ว เป็นต้น

2) ชนเผ่าชาวกูย นิยมแต่งกายแบบชาวไทยเขมร นิยมผ้าไหมกระเนียวลายริ้วเป็นทางยาว สตรีนิยมใส่ซิ่นที่มีหัวและตีนซิ่น และนิยมผ้าไหมลายลูกแก้วย้อมมะเกลือเป็นสีดำ

3) ชนเผ่าชาวไทยโคราช นิยมผ้าไหมลายหางกระรอก

4) ชนเผ่าไทยลาว นิยมผ้าย้อมคราม และไหมลายมัดหมี่ลวดลายต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ ว่าเป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ได้แก่ “ผ้าซิ่นตีนแดง” ซึ่งผลิตมาที่อำเภอพุทไธสงและนาโพธิ์

buriram

ที่ต่อไปที่จะพาไปชมคือ ศูนย์หัตถกรรมผ้าไหมนาโพธิ์ค่ะ ที่อำเภอนาโพธิ์จะได้รับการสนับสนุนจากโครงการศิลปาชีพพิเศษ ด้านการออกแบบลวดลาย และการจัดจำหน่ายผ้าไหมของอำเภอพุทไธสงและอำเภอนาโพธิ์ มักได้รับรางวัลจากการประกวดในที่ต่าง ๆ เป็นประจำ ผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของอำเภอ ได้แก่ผ้าไหมมัดหมี่ ปี 2524 โดยได้รวมกลุ่มฯ และได้รับเป็นสมาชิกโครงการส่งเสริมศิลปาชีพ ได้รับรางวัลจากการประกวดผ้าไหมระดับภาคตั้งแต่ ปี 2534 จนถึงปี 2544 รวม 47 รางวัล ปี 2542 ส่วนราชการให้การสนับสนุนเนื่องจากอยู่ในพื้นที่โครงการพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงสร้างศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านอำเภอนาโพธิ์ เป็นศูนย์กลางถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาให้แก่เยาวชนและกลุ่มอื่น ๆ ในพื้นที่และต่างพื้นที่ด้วย

บ้านหนองโก หมู่ที่ 6 ตำบลดอนกอก อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะสตรีในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเรียนทอผ้าไหม ในสมัยก่อนการทอผ้าไหมเป็นการทอสำหรับใช้เองในครัวเรือน นิยมสวมใส่เมื่อมีงานที่สำคัญ เช่น งานแต่งงาน งานบวช งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานประเพณีในหมู่บ้าน/ตำบลจัดขึ้น

buriram

ปัจจุบันที่อำเภอนาโพธิ์ไม่ได้มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแล้ว เนื่องจากเรื่องของระบบชลประทาน ชาวบ้านเล่าว่าการจะเลี้ยงไหมต้องใช้น้ำเยอะ พื้นที่ที่อยู่ติดคลองถึงจะดี ดังนั้น ที่นาโพธิ์จะพาเพื่อน ๆ ชมการทอผ้าไปจนถึงผลิตภัณฑ์ผ้าไหมที่สวยงามนะคะ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2530 มีชาวบ้านหนองโกได้เดินทางไปรับเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร และนำผ้าไหมไปถวายด้วย พระองค์ทรงโปรดผ้าไหมทรงรับไว้และชื่นชอบมาก และทรงพระราชทานเงินให้เป็นค่าผ้าไหม สร้างความปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาหมู่บ้านหนองโกได้คัดเลือกผู้ใหญ่บ้านเป็นสุภาพสตรี คือ นางนิสา ประดา เป็นผู้ที่มีฝีมือและทอผ้าไหมเป็นประจำ ได้ประชุมปรึกษาหารือกับชาวบ้าน เพื่อรวมกลุ่มจัดตั้งกลุ่มทอผ้าไหมขึ้นชื่อ “กลุ่มทอผ้าไหมบ้านหนองโก” เริ่มแรกยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก จวบจนได้รับคำแนะนำปรึกษาจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอนาโพธิ์ มีการฝึกอบรมให้ความรู้การพัฒนาด้านการผลิต การบริหารจัดการกลุ่ม การส่งเสริมด้านการตลาด ทำให้กลุ่มมีการพัฒนาผ้าไหมมัดหมี่ที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม โดยที่ยังความเป็นผ้าไหมมัดหมี่แบบดั้งเดิมไว้ และพัฒนาลวดลายใหม่ให้เข้ากับสมัยใหม่

buriram

ในภาพ คือ เส้นไหมที่ผ่านการฟอกสีแล้วค่ะ หลังจากที่สาวไหมจนหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไป ก็คือ ต้องนำไหมที่ได้นั้นมาฟอกให้นิ่มและเป็นสีขาว วิธีฟอกไหมชาวบ้านไม่ได้ใช้สารเคมี แต่จะใช้ของที่หาง่ายอยู่ใกล้ตัว เช่น กาบกล้วย ใบกล้วย ต้นกล้วย ผักโขมหนาม ต้นตัง ไก่น้อย งวงต้นตาล ก้านตาล ฝักหรือเปลือกเพกา ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่งนำมาฝานให้บาง ผึ่งแดดให้แห้ง และเผาไฟจนเป็นเถ้า นำเถ้าที่ได้ไปแช่น้ำไว้ให้ตกตะกอน ใช้เฉพาะส่วนที่เป็นน้ำใส นำไหมที่จะฟอกลงแช่ โดยก่อนจะนำไหมลงแช่จะต้องทุบไหมให้อ่อนตัว เพื่อที่น้ำจะได้ซึมเข้าได้ง่าย แช่จนไหมนิ่มและขาวจึงนำไปผึ่งแดดให้แห้ง หากไหมยังไม่สะอาดก็นำไปแช่ตามวิธีเดิมอีก จากนั้นการดึงไหมออกจากลุ่มไหมจะต้องทำโดยระมัดระวังไม่ให้พันกัน เส้นไหมที่ฟอกแล้วจะอ่อนตัวลง เส้นนิ่ม

buriram

เส้นไหมคุณภาพดีที่ยังไม่ได้ผ่านการฟอกสี

buriram

การย้อมสีไหม : สีไหมที่นิยมใช้ย้อมมี 2 ชนิด คือ สีย้อมที่ได้จากธรรมชาติและสีย้อมวิทยาศาสตร์ หรือสีสังเคราะห์

สีย้อมที่ได้จากธรรมชาติ ได้จากต้นไม้ ใช้ได้ทั้งใบ เปลือก ราก แก่น และผล ชาวอีสานรู้จักการย้อมสีไหมให้ได้สีตามต้องการจากสีธรรมชาติมานานแล้ว มีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควรเริ่มจากไปหาไม้ที่จะให้สีที่ต้องการ ซึ่งจะอยู่ในป่าเป็นส่วนใหญ่ บางสีต้องการใช้ต้นไม้หลายชนิด ทำให้ยุ่งยาก เมื่อได้มาแล้วต้องมาสับมาซอย หั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปต้มกรองเอาน้ำให้ได้มากตามต้องการ แล้วจึงนำไปย้อมแต่ละครั้งสีจะแตกต่างกันออกไป ไม่เหมือนเดิมทีเดียว ทำให้เกิดรอยด่างบนผืนผ้าได้ ปัจจุบันจึงนิยมใช้สีเคมีเป็นส่วนมากหรือเกือบทั้งหมด เพราะย้อมง่าย ขั้นตอนที่ทำไม่ยุ่งยากซับซ้อนสีที่ได้สม่ำเสมอ จะย้อมกี่ครั้ง ๆ ก็ได้สีเหมือนเดิมและสีติดทนนานมากกว่าสีจากธรรมชาติ

buriram
buriram

การทอผ้าไหม : วิธีการในการทอผ้าไหม คือ การนำเส้นไหมมาผ่านกรรมวิธีที่จะให้เกิดเป็นผืนผ้า โดยมีเครื่องมือคือกี่ ส่วนการทำให้เกิดลวดลายบนผืนผ้านั้นเป็นเทคนิควิธีที่จะทำให้มีความสวยงาม ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ก็จะยาก-ง่าย ตามแต่ลวดลายที่ต้องการ

buriram

buriram

buriram

buriram